Wednesday, March 9, 2011

ราชวงศ์อับบาซียะห์

ราชวงศ์อับบาซียะห์

ราชวงค์อับบาสิยะฮ์ (The Abbasid Dynasty)

ราชวงค์อับบาสิยะฮ์ ระหว่างปี ฮ.ศ.132-656 หรือ ค.ศ. 749-1258 ศูนย์กลางการปกครองอยู่ทีแบกแดด

หลังจากราชวงศ์อุมัยยะฮ์ถูกโค่นล้ม ราชวงศ์อับบาสียะฮ์ก็ขึ้นมาครองราชย์แทน คำว่าอับบาสียะฮ์ มาจากชื่อของท่านอับบาส บุตร อับดุลมุฎฎอลิบ บุตร ฮาชิม ซึ่งเป็นน้าชายของท่านศาสดามุฮัมมัด บางครั้งเรียกว่าเชื้อสายฮาชิมีย์
ราชวงศ์อับบาสียะฮ์ได้ย้ายเมืองหลวงจากชามมายังเขตอิรักในแบกแดด ราชวงศ์อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดเรืองอำนาจตั้งแต่ ค . ศ . 750-1258 ซึ่งมีระยะเวลาการครองราชย์ยาวนานเป็นลำดับที่สองรองจากราชวงศ์ออตโตมาน ราชวงศ์อับบาสียะฮ์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์อิสลามและประวัติศาสตร์โลกโดยรวม เพื่อสะดวกในการศึกษาประวัติศาสตร์ราชวงศ์อับบาสียะฮ์ นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ได้แบ่งยุคประวัติศาสตร์อับบาสียะฮ์ออกเป็นสองยุคใหญ่ๆ คือยุคต้นและยุคปลาย
ยุคต้น หมายถึง ตั้งแต่เริ่มแรกการสถาปนาราชวงศ์อับบาสียะฮ์ในปี ฮ . ศ . 132 / ค . ศ . 750 จนถึงปี ฮ . ศ . 232 / ค . ศ . 847 ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณหนึ่งศตวรรษ ส่วนยุคปลายหมายถึง ตั้งแต่ปี ฮ . ศ . 232 / ค . ศ . 847 จนถึงพวกมงโกลเข้ามายึดครองเมืองแบกแดดหรือการสิ้นพระชนม์ของเคาะลีฟะฮ์อับดุลลอฮ์ อัลมุอ์ตะซิมบิลลาฮ์ในปี ฮ . ศ . 656 / ค . ศ . 1258 ซึ่งรวมระยะเวลาการปกครองประมาณ 424 ปี
ในยุคปลายของราชวงศ์อับบาสียะฮ์สามารถแบ่งออกเป็นสี่ช่วงดังนี้
1. ช่วงชาวเตอร์กเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 232-334 / ค . ศ . 847-946 รวมระยะเวลาประมาณ 102 ปี ช่วงดังกล่าวนี้ชาวเตอร์กมีบทบาทมากในการกำหนดทิศทางทางการเมืองการปกครองและการทหารของราชวงศ์อับบาสียะฮ์
2. ช่วงพวกบูไวยฮ์เรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 334-447 / ค . ศ . 946-1055 รวมระยะเวลา 113 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองและการปกครองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ตกอยู่ในมือของพวกบูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะฮ์
3. ช่วงเซลจูลเรืองอำนาจ คือระหว่างปี ฮ . ศ . 447-530 / ค . ศ . 1055-1136 รวมระยะเวลา 83 ปี ในช่วงนี้อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ถูกควบคุมโดยพวกเซลจูกซึ่งเป็นสุนนีย์ที่เข้ามาโค่นอำนาจของพวกบูไวยฮ์ซึ่งเป็นชีอะฮ์
4. ช่วงสุดท้ายและล่มสลาย คือระหว่างปี ฮ . ศ . 530-656 / ค . ศ . 1136-1258 ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเซลจูกกำลังเสื่อมโทรม ในขณะเดียวกันมีการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูอำนาจของอับบาสียะฮ์ใหม่ แต่ก็ถูกคุกคามโดยอำนาจใหม่แห่งราชวงศ์มงโกลจนล่มสลายไปในที่สุด ช่วงนี้มีระยะเวลาการปกครองประมาณ 126 ปี
ราชวงศ์อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดมีเคาะลีฟะฮ์ปกครองรวมทั้งหมด 37 ท่าน ในช่วง 3 ศตวรรษแรกของการปกครองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ อาณาจักรอิสลามมีความเจริญก้าวหน้ามากทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การศึกษา สังคมและเศรษฐกิจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นยุคฟื้นฟูแห่งอิสลาม
สมัยการปกครองของราชวงค์อับบาสียะฮ์ เป็นสมัยของการสร้างความเป็นเอกภาพและความรุ่งเรืองสูงสุด มีการขยายอนาเขตการปกครองมากขึ้น คือ ทางทิศตะวันตกอิสลามเผยแพร่ถึงแอฟริกาเหนือ สเปน ส่วนทางด้านทิศตะวันออกอิสลามเผยแพร่ถึง ฝั่งเปอร์เซียและอินเดีย โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเคาะลีฟะฮ์ ซึ่งมีศูนย์อยู่ที่แบกแดด
การเรือง อำนาจของราชวงศ์อับบาสียะฮ์เป็นการเปิดศักราชใหม่ของมุสลิมในด้านศิลปวิทยาการสาขาต่างๆ ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ของมุสลิมได้เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการเริ่มขึ้นของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ เคาะลีฟะฮ์ในราชวงศ์อับบาสียะฮ์เป็นผู้อุปถัมภ์วิทยาการอย่างใหญ่หลวง ได้ทนุบำรุงเลี้ยงดูนักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถซึ่งได้สร้างประโยชน์อันมีค่าให้แก่วัฒนธรรมของโลก
ท่านเคาะลีฟะฮ์อัลมะอ์มูน ( ค . ศ . 813-833) ทรงเปิดแผนกแปลเพื่อรักษาผลงานด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของต่างชาติไว้เช่น ผลงานของอริสโตเติล กาเลน แต่คงจะหายสาปสูญไปถ้าหากมุสลิมไม่ได้เก็บรักษามันไว้ด้วยการแปลเป็นภาษาอาหรับ นอกจากนี้ยุโรปเป็นหนี้มุสลิมในเรื่องความรู้ทางเคมี การแพทย์และคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก ท่านอัลรอซี และอิบนุซินาเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่โลกรู้จักกัน ตำราอัลกอนูน ของอิบนุซินาได้ใช้เป็นตำราทางการแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในยุโรปมาหลายร้อยปี
เคาะลีฟะฮ์ต้นๆ ของราชวงศ์อับบาสียะฮ์ได้สร้างโรงพยาบาลขึ้นซึ่งเรียกว่า “ บิมาริสตาน ” โรงพยาบาลแห่งแรกถูกสร้างขึ้นโดยเคาะลีฟะฮ์ฮารูน อัรรอชีดในกรุงแบกแดด ต่อมาก็ได้มีโรงพยาบาลเกิดขึ้นอีก 34 แห่งในส่วนต่างๆของโลกมุสลิม สาขาอื่นๆ อาทิเช่น ศัลยกรรม เภสัชกรรม วิชาเกี่ยวกับสายตา ฯลฯ ก็เจริญก้าวหน้ามากในสมัยอับบาสียะฮ์
ชาวมุสลิมได้ปลูกฝังความรักด้านปรัชญาอย่างกระตือรือร้นเท่าๆ กันกับวิทยาศาสตร์ อัลฆอซาลี , อัลกินดี , อัลฟารอบีและอิบนุ ซินา เป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงของชาวมุสลิมในสมัยอับบาสียะฮ์
ท่านอัลกินดี นอกจากเป็นนักปรัชญาแล้วท่านยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ นักประดิษฐ์กล้อง และนักทฤษฏีด้านดนตรีอีกด้วย ท่านได้เขียนตำราในด้านต่างๆ กว่า 200 เล่ม ส่วนท่านฟารอบี ชาวอาหรับได้ให้สมญานามว่า “ อริสโตเติลอาหรับ ” ท่านได้เขียนตำราทางด้านจิตวิทยา การเมืองและอภิปรัชญาไว้มากมาย นอกจากนี้ในด้านดาราศาสตร์ในรัชสมัยของเคาะลีฟะฮ์อัลมะอ์มูนได้มีการสร้างหอดูดาวแห่งแรกขึ้นที่เมืองจันดีชาปูร ในเปอร์เซียตะวันออกเฉียงใต้ และต่อมาได้มีการสร้างอีกแห่งหนึ่งในเมืองแบกแดด
ในบรรดานักคณิตศาสตร์ทางดาราศาสตร์คนที่สำคัญคืออัลเคาะวาริซมีย์ ผู้เขียนตำรา “ กิตาบ ซูรอตุลอัรฏ์ ” ซึ่งอธิบายแผนโลกที่เป็นเล่มแรกในศตวรรษที่ 9 นอกจากนี้ ท่านอัลบัยรูนี และท่านอุมัร อัลค็อยยาม ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยนั้น
ชาวอาหรับยังทำประโยชน์ทางความรู้วิชาเคมีอีกด้วย ท่านญาบิร อิบนุ ฮัยยาน แห่งเมืองกูฟะฮ์นับว่าเป็นบิดาแห่งวิชาเคมีสมัยใหม่ ท่านได้สร้างห้องทดลองขึ้นในเมืองกูฟะฮ์ ได้ค้นพบสารประกอบทางเคมีมากมายและได้เขียนตำราเกี่ยวกับวิชาเคมีไว้หลายเล่ม ทางด้านประวัติศาสตร์มุสลิมก็เจริญก้าวหน้าไม่น้อยกว่าสาขาอื่นๆ ท่านบาลาซูรี , ฮามาดัน , มัสอูดีย์ , ตอบารีย์ , และอิบนุ อะษีร ล้วนแต่เป็นนักประวัติศาสตร์ที่เด่นอยู่ในสมัยอับบาสียะฮ์ นักวรรณกรรมภาษาอาหรับและเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงก็มีท่านอิสฟาฮานีย์ ท่านอิบนุค็อลลิกาน ท่านอบูนุวาส ท่านฟิรเดาซีย์ ท่านอบูฟะรอจญ์ เป็นต้น
ผลงานที่มีคุณค่าต่อสังคมโลกของ ราชวงค์อับบาสียะฮ์
ส่วนในด้านนิติศาสตร์ในสมัยอับบาสียะฮ์เกิดสำนักทางฟิกฮ์หรือที่เรียกว่ามัซฮับขึ้นสี่สำนัก ซึ่งมีท่านอิมามอบู หะนีฟะฮ์ ท่านอิมามมาลิก ท่านอิมามชาฟิอีย์ และท่านอิมามอะห์มัด อิบนุ ฮัมบัลเป็นผู้นำของแต่ละสำนัก จึงกล่าวได้ว่านักปราชญ์และผู้รู้ของมุสลิมในสมัยอับบาสียะฮ์มีอยู่ในทุกสาขาวิชาการและเป็นทองแห่งศิลปวิทยาการอิสลาม
การปกครองในสมัยอับบาสียะฮ์เป็นยุคที่มีความรุ่งเรืองในแง่ของวิชาการได้มีการพัฒนาถึงขั้นสุดยอดของศาสตร์อิสลาม ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและไม่ใช่ศาสนา รวมทั้งวัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งได้มีการพัฒนาวิชาการใน 3 ด้านคือ
1.ด้านการแต่งตำรา
2.ด้านการจำแนกสาขาวิชาอย่างเป็นระบบ
3.ด้านการแปลหนังสือหรือตำราต่างๆจากภาษาอื่นเป็นภาษาอาหรับ

1.ด้านการแต่งตำรา
อุลามาอฺที่โดดเด่นในยุคนี้ที่ได้เริ่มมีการแต่งตำราขึ้น ไดแก่ อีมามมาลิก ได้ แต่งตำราอัลมุวัฎเฎาะ เป็นตำราเกี่ยวกับวิชาหะดิษ อิบนุ อิซฮาก ได้แต่งตำราประวัติศาสตร์อิสลาม และอาบูฮานีฟะฮ์ได้แต่งตำราฟิกฮ์ เป็นต้น

2.ด้านการจำแนกสาขาวิชาอย่างเป็นระบบ
ในยุคนี้วิชาการอิสลามได้มาถึงระดับที่สูงขึ้น มีการจัดสาขาวิชาอย่างละเอียดและเป็นระบบอันได้แก่
1. สาขาวิชาตัฟซีร ได้มีการแยกออกจากวิชาหะดิษ โดยแยกเป็นวิชาหะดิษ วิชาตัฟซีร ผู้ที่มีชื่อเสียงในสาขาวิชาตัฟซีรในสมัยนี้ คือ อัล เฏาะบะรี
2. สาขาวิชาฟิกฮ์ อีมามของมัษฮับทั้ง 4 ก็ได้เกิดขึ้นในสมัยนี้ คือ อิมามฮานาฟี มาลิกี ชาฟีอีและ ฮัมบาลี
3. สาขาวิชาหะดิษอีมามทั้ง 6 ก็ได้เกิดขึ้นในสมัยนี้ คือ อีมามบุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมีษี อิบนุมาญะฮ์ และ นะซาอี
4. สาขาวิชาปรัชญา สมัยนี้ได้ถือกำเนิดนักปรัชญาโลกมุสลิม คือ อัล กินดี ถือเป็นนักปรัชญามุสลิมท่านแรกในสมัยอับบาซียะฮ์ และ อันฟารอบี ก็เป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียง
5.ทางด้านสาขาวิชาประวัติศาสตร์ได้แยกวิชาประวัติศาสตร์ออกจากวิชาหะดิษ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ สมัยนี้ได้ถือกำเนิดนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เช่น อิบนุ กุฏอยบะฮ์ อัล เฎาะบะรี อิบนุ คอนดูน อิบนุอิสฮาก เป็นต้น
6. ทางด้านวิชาภาษาศาสตร์อาหรับ ก็มี 2 สำนัก คือ สำนักบัสเราะฮ์ และ สำนักกูฟะฮ์
7. สาขาวิชาคนิตศาสตร์และดาราศาสตร์ ผู้ที่มีชื่อเสียงในสาขานี้ คือ อัล เคาะวาริซมีย์
8. สาขาวิชาการแพทย์ ผู้ที่เขียนตำราแพทย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ คือ อะลี อัล-เฏาะบะรี อัลรอซี อัลมะญูซี และอิบนุ ซีนา เป็นต้น
นอกจากสาขาวิชาต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีสาขาวิชาอื่นๆอีกมากมายที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยนี้ เช่น จริยศาสตร์ ศูฟี อิลมุกาลาม วรรณกรรมอาหรับ เป็นต้น

3.ด้านการแปลหนังสือหรือตำราต่างๆจากภาษาอื่นเป็นภาษาอาหรับ
เคาะลีฟะฮ์ให้ความสำคัญล่งเสริมและสนับสนุน บรรดาอุลามาอฺ ให้มีการแปลตำราจากภาษาอื่นๆให้เป็นภาษาอาหรับ ได้มีการตอบรับจากบรรดาอุลามาอฺส่วนใหญ่และผู้ที่โดดเด่นที่สุด คือ อิบนุมุขฟี อีกทั้งในยุคนี้ ได้มีการจัดตั้ง บัยตุลอิกมะฮ์ ซึ่งจัดว่าเป็นศูนย์กลางของวิชาการด้านต่างๆเป็นทั้งหอสมุดประชาชนและสถาบันการแปลหนังสือ
ในศตวรรษที่ 9 อำนาจทางการเมืองของราชวงศ์อับบาสียะฮ์เริ่มสั่นคลอนโดยการประกาศตั้งตัวเป็นรัฐเอกราชของราชวงศ์อุมัยยะฮ์แห่งสเปน ราชวงศ์ตุลูน แห่งอียิปต์ ราชวงศ์ตอฮิรีย์ แห่งคูรอซาน ราชวงศ์สามานีย์ แห่งแทรนโซเซียนาและคูรอซาน ราชวงศ์สัฟฟารีย์ แห่งซิสถานในศตวรรษที่ 10 กลุ่มชีอะฮ์ได้ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางและมีบทบาททางการเมืองมาก ดินแดนแอฟริกาเหนือถูกยึดครองโดยกลุ่มชีอะฮ์แห่งราชวางศ์ฟาติมีย์ ต่อมาได้ขยายอำนาจสู่อียิปต์และซีเรีย พร้อมกับประกาศตั้งตนเป็นรัฐอิสระที่อียิปต์แข่งกับราชวงศ์อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดด
นอกจากนี้ในปี ค . ศ . 845 กลุ่มชีอะฮ์ราชวงศ์บูไวยฮีย์ ได้บุกเข้ายึดกรุงแบกแดด และกุมอำนาจราชวงศ์อับบาสีย์ไว้ได้สำเร็จ ต่อมาในปี ค . ศ . 1055 ชาวเซลจูกเข้ามามีบทบาทและกุมอำนาจในราชวงศ์อับบาสียะฮ์แทน ถึงแม้ว่าราชวงศ์อับบาสียะฮ์ จะพยายามกอบกู้อำนาจคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสุลต่านอัลมุกตาฟีย์และสุลต่านอันนาศิร จนกระทั่งได้อำนาจคืนจากชาวเซลจูกในปี ค . ศ . 1194 แต่ต้องเผชิญมรสุมลูกใหญ่จากการรุกรานของทหารมงโกล ราชวงศ์อับบาสียะฮ์ไม่สามารถต้านการรุกรานของมงโกลได้ จนกระทั่งในปี ค . ศ . 1258 ( ฮ . ศ .656) มงโกลสามารถเข้ายึดเมืองแบกแดดได้ และได้สังหารสุลต่านองค์สุดท้ายของราชวงศ์อับบสิยะฮ์แห่งแบกแดด จนสิ้นสุดราชวงศ์อับบาสียะฮ์แห่งแบกแดดที่เรืองอำนาจมาเกือบ 6 ศตวรรษ

ที่มา : Islamic information center of psu Fathoni 
อ้างจาก http://khozafi-shahaan.blogspot.com/2010/04/blog-post_7529.html

No comments:

Post a Comment